สรุปความรู้ เรื่อง การแปลความหมายจากบทเพลง
จากการศึกษา และฝึกการแปลเพลงทั้งเพลงสากลและเพลงไทย พบปัญหารวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา และลักษณะเฉพาะของการใช้ภาษาในบทเพลงที่หลากหลาย เพื่อความเข้าใจง่าย ในที่นี้จะขอกล่าวโดยแยกเป็นประเด็น รวมทั้งสิ้น 2 ประเด็นรายละเอียดดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 : ปัญหาที่พบในการแปลเพลง
ปัญหาที่พบในการแปลเพลง ที่สำคัญและพบอยู่บ่อยครั้งคือ การแปลเพลง (ทั้งจากภาษาไทย เป็นภาษาอังกฤษ และ จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย) ที่ทำให้ความหมายผิดแปลก หรือคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับ ซึ่งปัญหาในเชิงความหมายที่ผิดเพี้ยนดังกล่าวมีสาเหตุดังต่อไปนี้
- คำศัพท์แต่ละคำมีความหมายที่หลากหลาย เป็นที่ทราบกันดีว่าคำศัพท์ทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หากนำมาแปลความหมายแล้วจะพบว่า แต่ละคำศัพท์ส่วนมากจะมีความหมายมากกว่า 1 ความหมาย อาทิ “Love” อาจหมายถึง “พิศวาส” หรือ “ชอบพอ” ซึ่งความหมายในภาษาไทยทั้งสองข้างต้น ดูเหมือนจะมีความหมายใกล้เคียง ทว่าหากพิจารณาถึงความหมายที่แท้จริงแล้ว จะพบว่าทั้งสองคำยังมีความแตกต่างกัน ซึ่งความหลากหลายในเชิงความหมายของคำศัพท์แต่ละคำนี้เอง หากผู้แปลมีวงคำศัพท์ที่ค่อนข้างแคบ ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแปลความหมายต่างๆ โดยเฉพาะการแปลความหมายของเพลง มีความคลาดเคลื่อน หรือไม่สื่อความที่แท้จริงตามต้นฉบับ
- แนวทางการแก้ไขปัญหา
ผู้แปลจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในความหมายของคำศัพท์ที่หลากหลายเพื่อให้การแปลมีความหมายที่ใกล้เคียง หรือตรงตามต้นฉบับมากที่สุด เพราะหากผู้แปลมีความรู้เรื่องคำศัพท์ที่มาก จะทำให้ผู้แปลมีตัวเลือกความหมายคำศัพท์ที่มากขึ้น อีกทั้งผู้แปลสามารถเลือกสรรความหมายของคำศัพท์เพื่อนำมาประกอบการแปลความหมายได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
- บริบทที่แตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมของทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทุกภาษานอกจากจะมีความแตกต่างทางด้านการออกเสียง หรือ ตัวอักษรแล้ว อีกประการหนึ่งที่เป็นตัวแปรสำคัญซึ่งมักเป็นอุปสรรคหรือปัญหาของการแปลความหมายระหว่าง 2 ภาษา คือ บริบททางสังคมและวัฒนธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในกรณีนี้คือ การใช้ สำนวน (Idioms) และวลี (Phrases) อาทิสำนวน “couch potato” ในภาษาอังกฤษ หมายถึง “คนเกียจคร้าน” จะเห็นได้ว่าหากผู้แปลไม่เข้าใจบริบททางสังคม หรือวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา(อังกฤษ) อาจจะทำให้ผู้แปล แปลความหมายอย่างตรงตัวคำศัพท์ดังกล่าวได้ว่า “ที่นอนมันฝรั่ง” ซึ่งเป็นการแปลความหมายที่ไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างระหว่างภาษาจึงเป็นตัวแปรสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ทำให้การแปลความหมายคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับ
-
- แนวทางการแก้ไขปัญหา
ผู้แปลจำเป็นจำต้องศึกษาความรู้เกี่ยวกับความหมายและวิธีหรือหลักการใช้ที่ถูกต้องของสำนวน และวลีเป็นประจำและต่อเนื่อง รวมถึงต้องศึกษาบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของภาษาเป้าหมาย เพราะเรื่องสำนวน และวลีนั้น หากเราไม่ใช่เจ้าของภาษา อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่เราจะหยั่งรู้ได้ถึงความหมายของทุกสำนวนหรือวลี ดังนั้นแนวทางที่เป็นไปได้ และเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้แปลในกรณีนี้คือการ “ท่องจำ” เพราะการแปลความหมายของสำนวนหรือวลีนั้น เราจำต้องมีความคุ้นชินและคลุกคลีอยู่เป็นประจำ เราจึงจะสามารถเข้าใจ ตีความ และแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ
- ความหลากหลายของสรรพนามแทนตัวบุรษในภาษาไทย ในภาษาอังกฤษสรรพนามแต่ละสรรพนามจะบ่งชี้ถึงตัวบุรุษที่ชัดเจน เช่น I บ่งชี้ถึงบุรุษที่ 1 He บ่งชี้ถึงบุรุษที่ 3 เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้แปลมีความเข้าใจเรื่องบตัวบุรุษที่ถูกต้องตรงกัน แต่ในภาษาไทย สรรพนามแทนตัวบุรุษ 1 สรรพนาม สามารถบ่งชี้ได้มากกว่า 1 ตัวบุรุษ เช่น หนู สามารถบ่งชี้ได้ทั้ง บุรุษที่ 1 และ บุรุษที่ 2 เรา สามารถบ่งชี้ได้ทั้งบุรุษที่ 1 และบุรุษที่ 3 เป็นต้น โดยสามารถจะเห็นปัญหานี้ได้ชัด หากแปลความหมายสรรพนามจากภาษาไทย เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่ความหมายจะคลาดเคลื่อน เนื่องจากผู้แปลอาจสับสนในการเลือกใช้คำสรรพนามในภาษาอังกฤษ เพื่อแทนคำสรรพนามในภาษาไทย เช่น หากต้องการแปลความหมายคำว่า “เรา” ในภาษาไทยที่พบในบทเพลง ผู้แปลอาจต้องตัดสินใจเลือกสรรพนามในภาษาอังกฤษระหว่างคำว่า “I” และ “We” ซึ่งหากตัดสินใจโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน การแปลดังกล่าวจะผิดความหมายไปในทันที เป็นต้น
-
- แนวทางการแก้ไขปัญหา
ผู้แปลจำเป็นจะต้องศึกษาถึง กฎ หรือข้อบังคับในการเทียบเคียง หรือแปลความหมายของสรรพนามระหว่างภาษาต้นฉบับ และภาษาเป้าหมายให้เข้าใจ นอกจากนี้หากผู้แปลไม่มั่นใจในความหมายที่แท้จริงของสรรพนามที่พบ ผู้แปลอาจเลือกใช้สรรพนามที่มีสถานะเป็นกลาง กล่าวคือไม่เป็นสรรพนามที่เฉพาะเจาะจงหรือชี้เฉพาะจนเกินไป ประกอบการแปลความหมายนั้นๆได้ เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงความผิดพลาด และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากการแปล
- ความแตกต่างเชิงโครงสร้างทางไวยากรณ์ระหว่างภาษา นอกจากความแตกต่างระหว่างภาษา ที่ได้กล่าวไปข้างต้น อีกหนึ่งประการที่นักแปล หรือผู้แปลทั่วไปไม่สามารถละเลยได้ คือไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย มีโครงสร้างทางไวยากรณ์ที่แตกต่างกันหลายประการ กล่าวเฉพาะเรื่อง “Tenses” เป็นที่ทราบกันดีกว่าในภาษาอังกฤษ จะมีการระบุถึงช่วงเวลาในทุกๆประโยคอย่างชัดเจน อันจะสังเกตได้จาก การผันคำกริยาในแต่ละประโยค ทว่าในภาษาไทย ไม่มีการผันคำกริยาแต่อย่างใด มีเพียงการเพิ่มเติมคำระบุเวลาไปในตอนต้น ตอนกลาง หรือ ตอนท้ายของประโยคเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การแปลความหมายในแต่ละประโยคที่พบในบทเพลง ผู้แปลจำเป็นจำต้องคำนึงถึงช่วงเวลาของประโยคนั้นๆเป็นสำคัญ เนื่องจากผู้แปลส่วนใหญ่มักละเลย หรือไม่คำนึงถึงการผันคำกริยาในประโยคที่แปล ซึ่งอาจส่งผลให้การแปลนั้นผิดพลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปลความหมายจากภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทย เช่น การแปลประโยคในภาษาอังกฤษที่ว่า “I went to the public park” จะเห็นได้ว่าในประโยคดังกล่าวมีการบ่งบอกถึงช่วงเวลาในอดีต ผ่านการผันคำกริยาในประโยค ซึ่งหากผู้แปลไม่คำนึงหรือให้ความสำคัญกับการบ่งชี้เวลาของประโยคต้นฉบับแล้ว ผู้แปลอาจแปลความหมายได้เพียงว่า “ฉันไปสวนสาธารณะ” ซึ่งหากพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะพบว่าความหมายยังไม่ชัดเจน และมีแนวโน้มที่ความหมายดังกล่าวจะคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับ
- แนวทางการแก้ไขปัญหา
ผู้จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องไวยากรณ์ของทั้งภาษาต้นฉบับและภาษาเป้าหมายให้ลึกซึ้ง อีกทั้งผู้แปลจำต้องเพิ่มความระมัดระวังในการแปลความหมาย โดยต้องให้ความสำคัญและคำนึงถึงการผันคำกริยารวมทั้งข้อบ่งชี้ต่างๆทางไวยากรณ์ของภาษามากขึ้น เพื่อลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นจากการแปลนั้นๆ
ประเด็นที่ 2 : ลักษณะเฉพาะของการใช้ภาษาในบทเพลง
จากการฝึกแปลความหมายของบทเพลง พบคุณลักษณะเฉพาะของการใช้ภาษาในบทเพลง 4 ประการ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
- การใช้ Figure of Speech ในบทเพลง จากการแปลความหมายของบทเพลง พบว่าในแต่ละเพลงจะมีการนำ Figure of speech หรือ ภาพพจน์ มาใช้ประกอบบทเพลงอยู่เสมอ เพื่อสร้างจินตนาการ รวมถึงปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังให้ เข้าใจ เข้าถึง และเกิดความลึกซึ้งในบทเพลง โดยภาพพจน์ดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในศิลปะการใช้ภาษาที่น่าหลงไหลในบทเพลง ซึ่งภาพพจน์ ที่พบบ่อยในบทเพลง ได้แก่
- Imagery คือการใช้คำมาบรรยายให้เกิดเป็นภาพลักษณ์ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการขณะฟังเพลง และมีอารมณ์สุนทรีย์ตามบทเพลงที่ได้ฟัง
- Personufucation เป็นการสร้างสิ่งไม่มีชีวิตให้มีชีวิตเพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าถึงบทเพลงนั้นได้ง่ายขึ้น เช่น Rain won’t you tell her that I love her so เป็นต้น
- simile & Metaphor เป็นการใช้คำที่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบแทนการกล่าวความหมายตรงๆ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสุนทรีย์ อีกทั้งช่วยสื่อความหมายของบทเพลงถึงผู้ฟังได้ลึกซึ้งมากขึ้น ฯลฯ
- อารมณ์ความรู้สึกเป็นแม่ทัพ การแปลความหมายของบทเพลง มีความแตกต่างจากการแปลความหมายทั่วไป เนื่องจากในบทเพลงมีการใช้ภาษาที่มีลักษณะเฉพาะในการถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกต่างๆมากมายไปยังผู้ฟัง ดังนั้นการแปลความหมายบทเพลง ผู้แปลจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกที่ผู้ประพันธ์ต้องการจะสื่อถึงผู้ฟังผ่านบทเพลงเป็นสำคัญ เพราะหากผู้แปลเข้าใจอารมณ์ของบทเพลงผิดไป ย่อมจะส่งผลต่อการตีความหมายของเพลงที่อาจจะผิดเพี้ยนหรือคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน
- ไวยากรณ์ผิดบ้างก็ได้ ประการหนึ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนของการใช้ภาษาในบทเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาอังกฤษ คือ ไวยากรณ์ที่ผิด เนื่องจากในการประพันธ์เพลง สิ่งที่ผู้ประพันธ์ต้องคำนึงเป็นสำคัญไม่ใช่เรื่องความถูกต้องทางภาษา หรือไวยากรณ์ หากแต่เป็นการสื่อความหมาย อารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นเราจะพบเห็นการใช้ภาษาที่ผิดโครงสร้าง หรือผิดไวยากรณ์เป็นจำนวนมากในบทเพลง
- คำคล้องจองเป็นเสน่ห์ของบทเพลง แทบจะทุกบทเพลงจะมีการใช้ภาษา หรือถ้อยคำที่มีลักษณะเฉพาะ กล่าววคือในบทเพลง การเลือกใช้คำจะเลือกใช้คำที่มีความคล้งอจองกัน เพื่อความไพเราะและเป็นที่จดจำง่ายในหมู่ผู้ฟัง ซึ่งการใช้คำคล้องจองในบทเพลง สามารถพบได้ทั้งในเพลงภาษาไทย และเพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ หรือลักษณะเฉพาะของการใช้ภาษาในบทเพลงที่น่าหลงไหลอีกประการหนึ่ง
สหรัฐ ลักษณะสุต (Saharat Laksanasut) นักวิชาการอิสระ